วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

คุณค่าของ “ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ”


คุณค่าของ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน
                จากการศึกษาวิเคราะห์เรื่อง กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานอย่างละเอียด ผู้วิจัยพบว่ากาพย์เห่เรื่องนี้มีคุณค่าด้านวรรณคดีและวรรณศิลป์ รวมทั้งด้านสังคมและวัฒนธรรมอย่างเด่นชัด ดังรายละเอียดที่จะกล่าวต่อไปนี้
๑ คุณค่าด้านวรรณคดีและวรรณศิลป์
                ๑.๑ คุณค่าด้านวรรณคดี กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานเป็นกาพย์เห่นิราศที่มีคุณค่ามากในวงการวรรณคดีไทย และเป็นต้นแบบให้แก่การแต่งกาพย์เห่บางบทในสมัยหลังต่อมา คือ บทเห่ชมเครื่องว่างซึ่งเป็นเนื้อความตอนหนึ่งใน กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในบทเห่ชมเครื่องว่างมีเนื้อความกล่าวถึงอาหารหลากหลายชนิดที่เป็นฝีมือของนางที่กวีทรงรัก การชมดังกล่าวนี้น่าจะได้รับอิทธิพลจาก กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานนี้เอง
                พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานขึ้น โดยทรงสืบทอดขนบการแต่งวรรณคดีของกวีโบราณ และพัฒนาจนเป็นกาพย์เห่นิราศดีเยี่ยมที่ประดับวงการวรรณคดีไทยมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
                พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีความรู้เรื่องวรรณคดีโบราณเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นวรรณคดีทั่วไปหรือวรรณคดีประเภทกาพย์เห่ ดังเห็นได้จากบทพระราชนิพนธ์ที่ทรงดำเนินตามขนบของกวีโบราณอย่างเด่นชัด ดังรายละเอียดต่อไปนี้
                พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสืบทอดการแต่งวรรณคดีนิราศประเภทคร่ำครวญคิดถึงนางที่จากกวีไปจาก ทวาทศมาสโคลงดั้นในสมัยอยุธยาตอนต้น และ/หรือ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกในสมัยอยุธยาตอนปลาย เมื่อกล่าวถึงวันเวลาในรอบ ๑๒ เดือนที่เคลื่อนหมุนไปโดยไม่มีการเดินทางเพื่อสื่อความหมายว่าช่วงเวลาที่กวีมีความทุกข์โศกนั้นช่างยาวนานราวกับ ๑๒ เดือนหรือ ๑ ปี แม้กระนั้น          กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานก็มีลักษณะเด่นเฉพาะของตนเองตรงที่ใช้จุดเริ่มต้นของเวลาเป็นเดือนสามไม่ใช่เดือนห้าอย่างที่พบใน ทวาทศมาสโคลงดั้นนอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังทรงใช้ชื่ออาหารคาวหวานเป็นช่องทางในการคร่ำครวญคิดถึงนางได้อย่างแยบคาย สอดคล้องกับพระปรีชาสามารถพิเศษของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีที่ทรงปรุงแต่งเครื่องเสวยคาวหวานได้เป็นเลิศ ไม่มีหญิงใดในสมัยนั้นเทียบได้เลย
                นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสืบทอดการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์เห่จาก กาพย์เห่เรือพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรที่ประกอบด้วยเนื้อหาหลากหลายตอนที่มีความสัมพันธ์กัน
                เนื้อหาหลายตอนใน กาพย์เห่เรือพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรได้แก่ เห่ชมเรือกระบวน เห่ชมปลา เห่ชมไม้ เห่ชมนก เห่เรื่องกากี เห่บทสังวาส และเห่ครวญ
                ส่วนเนื้อหาหลายตอนใน กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานได้แก่ เห่ชมเครื่องคาว เห่ชมผลไม้ เห่ชมเครื่องหวาน เห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์ และเห่บทเจ้าเซ็น ขณะเดียวกัน ยังทรงสืบทอดการแต่งกาพย์เห่ให้เป็น นิราศจาก กาพย์เห่เรือพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิ- เบศรด้วย
                ตามทัศนะของผู้วิจัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์กาพย์เห่นิราศได้ดียิ่ง ทรงสร้างสรรค์ให้ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานมีบทคร่ำครวญถึงหญิงที่ทรงรักในเนื้อหาทุกตอน ทั้งยังแสดงพัฒนาการทางอารมณ์ของกวี ทำให้ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานเป็นนิราศที่สมบูรณ์แบบและมีเอกภาพอย่างดียิ่ง เป็นตัวอย่างกาพย์เห่ที่แต่งขึ้นเพื่อพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกส่วนของพระองค์ของกวีได้อย่างเด่นชัด ทั้งยังเป็นกาพย์เห่นิราศที่ดีที่สุดและเป็นบันทึกความเศร้าเพราะร้างรักที่มีความหมายกินใจและลึกซึ้งที่สุด
                นอกจากนี้ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานยังเป็นวรรณคดีไทยที่มีคุณค่าด้านวรรณศิลป์อย่างสูงส่ง ดังจะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป
                ๑.๒ คุณค่าด้านวรรณศิลป์ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานมีคุณค่าด้านวรรณศิลป์อย่างเด่นชัด
                พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒  (๒๕๔๖ : ๑๐๕๕)
อธิบายความหมายของคำว่า วรรณศิลป์ว่าหมายถึงศิลปะในการแต่งหนังสือ
                สิทธา  พินิจภูวดล และนิตยา  กาญจนวรรณ (๒๕๒๐ : ๔) อธิบายว่า วรรณศิลป์ คือ ศิลปะในการแต่งหนังสือ ความประณีตงดงาม อันได้แก่ ความงามทางภาษา ความงามของเนื้อหาซึ่งกลมกลืนกับรูปแบบ
                “กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานเป็นวรรณคดีไทยที่มีวรรณศิลป์สูงส่ง เห็นได้จากวรรณศิลป์ด้านภาษา ด้านเนื้อหา ด้านกลวิธีการแต่ง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
                ๑.๒.๑ วรรณศิลป์ด้านภาษา มีการใช้ภาษาอย่างไพเราะด้วยการเพิ่มความไพเราะด้านเสียง และเพิ่มความไพเราะด้านคำ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
                ก. เพิ่มความไพเราะด้านเสียง กวีทรงเพิ่มความไพเราะด้านเสียงด้วย     วิธีการต่างๆดังนี้
                เพิ่มเสียงไพเราะในโคลงด้วยการให้มีสัมผัสพยัญชนะระหว่างวรรคในบาทเดียวกัน เช่น
                แกงไก่มัสมั่นเนื้อ                                                                                                นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน                                                                                                 เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์                                                                                             พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน                                                                                         อกไห้หวนแสวง
                ในตัวอย่างนี้ กวีทรงใช้คำสุดท้ายในวรรคหน้าให้สัมผัสพยัญชนะกับคำแรกในวรรคหลังในบาทเดียวกัน ได้แก่ เนื้อ นพ(คุณ)  ฉุน เฉียบ และคำว่า ภุญช์พิศ(วาส) ในบาทที่หนึ่ง สอง และสามตามลำดับ
                เพิ่มเสียงไพเราะในโคลงด้วยการให้มีสัมผัสในภายในวรรคและในบาทเดียวกัน มีทั้งที่เป็นสัมผัสพยัญชนะ และสัมผัสสระ เช่น
                ผลชิดแช่อิ่มโอ้                                                                                     เอมใจ
หอมชื่นกลืนหวานใน                                                                                        อกชู้
รื่นรื่นรสรมย์ใด                                                                                                   ฤาดุจ นี้แม่
หวานเลิศเหลือรู้รู้                                                                                                แต่เนื้อนงพาล
                ที่เป็นสัมผัสในชนิดสัมผัสพยัญชนะในแต่ละวรรคได้แก่ คำว่า         (ผล) ชิด แช่  อิ่ม โอ้  ในวรรคหน้าของบาทแรก คำว่า รื่น รื่น รส รมย์ ในวรรคหน้าของบาทที่สาม คำว่า เลิศ เหลือ และ รู้ รู้ ในวรรคหน้าของบาทที่สี่
                ที่เป็นสัมผัสในชนิดสัมผัสพยัญชนะในแต่ละบาทได้แก่ คำว่า อิ่ม โอ้ เอม  ในบาทแรก คำว่า รื่น รื่น รส รมย์ ฤา ในบาทที่สาม
                ที่เป็นสัมผัสในชนิดสัมผัสสระในแต่ละวรรค เช่น  ชื่น กลืน  ในวรรคหน้าของบาทที่สอง
                เพิ่มเสียงไพเราะในกาพย์ด้วยการให้มีสัมผัสในภายในวรรคเดียวกัน มีทั้งที่เป็นสัมผัสพยัญชนะ และสัมผัสสระ เช่น
                ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น                                                                             วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย                                                                                          ฤาจักเปรียบเทียบทันขวัญ
                ที่เป็นสัมผัสในชนิดสัมผัสพยัญชนะในวรรคเดียวกัน เช่น   ก้อย กุ้ง  ปรุง ประ (ทิ่น)  ในวรรคหนึ่งของกาพย์ยานี  ดิ้น แด โดย  ในวรรคที่สองของกาพย์ยานี และ เทียบ ทัน  ในวรรคที่สี่
                ที่เป็นสัมผัสในชนิดสัมผัสสระในวรรคเดียวกัน เช่น  กุ้ง ปรุง  ในวรรคที่หนึ่ง  ลิ้น ดิ้น ในวรรคที่สอง  ทิพย์ หยิบ  ในวรรคที่สาม และ เปรียบ เทียบ  ทัน ขวัญ  ในวรรคที่สี่
                ตัวอย่างในบทเห่ผลไม้  มีดังนี้
หมากปางนางปอกแล้ว                                                                      ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง
ยามชื่นรื่นโรยแรง                                                                                              ปรางอิ่มอาบซาบนาสา
                ที่เป็นสัมผัสในชนิดสัมผัสพยัญชนะในวรรคเดียวกัน เช่น แพร้ว พราย  ในวรรคที่สอง รื่น โรย แรง  ในวรรคที่สาม และคำ อิ่ม อาบ และ ซาบ– (นา) สา  ในวรรคที่สี่
                ที่เป็นสัมผัสในชนิดสัมผัสสระในวรรคเดียวกัน เช่น  ปราง นาง     แก้ว แพร้ว  ชื่น รื่น  อาบ ซาบ  ในวรรคที่หนึ่ง สอง สาม และสี่ตามลำดับ
                ตัวอย่างในบทเห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์ ได้แก่
                ทุกลำลอบเล็งลักษณ์                                                                           ไม่พบพักตร์เจ้างามเสงี่ยม
ดูไหนไม่เทียบเทียม                                                                                            ร่วมรักเรียมรูปร่างรัด
                ที่เป็นสัมผัสในชนิดสัมผัสพยัญชนะในวรรคเดียวกัน เช่น ลำ ลอบ เล็ง ลักษณ์  ในวรรคที่หนึ่ง พบ พักตร์ และ งาม เสงี่ยม ในวรรคที่สอง เทียบ เทียม ในวรรคที่สาม ร่วม รัก เรียม รูป ร่าง รัด ในวรรคที่สี่ ในที่นี้เห็นได้ว่าการใช้คำที่มีเสียงสัมผัสพยัญชนะในวรรคที่สี่ทำได้ดีมาก เพราะมีเสียงสัมผัสพยัญชนะทุกคำ
                ที่เป็นสัมผัสในชนิดสัมผัสสระในวรรคเดียวกัน เช่น ไหน - ไม่ ในวรรคที่สาม
                เพิ่มเสียงไพเราะในกาพย์ด้วยการให้มีสัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระที่มีเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน เช่น ชายใดได้กลืนแกง เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง
                คำว่า ใด ได้  หรุ่ม รุม  รุม รุ่ม มีทั้งเล่นเสียงพยัญชนะเดียวกันและเล่นเสียงสระเดียวกัน แต่มีวรรณยุกต์ต่างกัน
                เมื่อศึกษาการเพิ่มความไพเราะด้านเสียงแล้ว ผู้วิจัยพบว่าความไพเราะที่เกิดจากการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะและสระใน กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานนี้มีอยู่ในกาพย์ยานีทุกบท ในกรณีที่ขาดเสียงสัมผัสพยัญชนะและสระไปบ้าง ก็จะขาดไปเพียง ๑ วรรคในกาพย์แต่ละบทเท่านั้น
                จากการศึกษาดังกล่าว ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า
                บทเห่ชมเครื่องคาว มีความไพเราะด้านเสียง ๙๗% (ขาด ๒ วรรคในจำนวนกาพย์ ๑๕ บท)
                บทเห่ชมผลไม้ มีความไพเราะด้านเสียง ๑๐๐%
                บทเห่ชมเครื่องหวาน มีความไพเราะด้านเสียง ๙๖% (ขาด ๒ วรรคในจำนวนกาพย์ ๑๕ บท)
                บทเห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์ มีความไพเราะด้านเสียง ๙๖% (ขาด ๓ วรรคในจำนวนกาพย์ ๒๑ บท)
                เห่บทเจ้าเซ็น มีความไพเราะด้านเสียง ๑๐๐%
                ผู้วิจัยมีความเห็นว่าความไพเราะด้านเสียงที่มีอยู่เต็มเปี่ยมใน กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานนี้ ทำให้กาพย์เห่เรื่องนี้ไพเราะทัดเทียมกับ กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเลยทีเดียว
                ข. เพิ่มความไพเราะด้านการใช้คำ กวีทรงเพิ่มความไพเราะด้านการใช้คำด้วยวิธีใช้คำแบบต่างๆ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
                การใช้คำที่ก่อให้เกิดความไพเราะในกาพย์เห่เรื่องนี้ได้แก่ การซ้ำคำในตำแหน่งต่างๆ การใช้คำสลับที่ การใช้คำหลาก การใช้คำที่มีความหมายหลายนัย การใช้คำกระชับที่กินความ การใช้คำจินตภาพ และการใช้ภาพพจน์
                การซ้ำคำในตำแหน่งต่างๆ มีรายละเอียดต่อไปนี้
                การซ้ำคำในตำแหน่งติดกัน เช่น
ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น                                                                                    เรียกส้มฉุนใช้นามกร
หวนถวิลลิ้นลมงอน                                                                                           ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน
                ในตัวอย่างข้างต้น กวีทรงใช้คำ ครุ่น - ครุ่นซึ่งมีความหมายว่า บ่อยๆ เสมอๆ
                ที่เป็นการซ้ำคำในตำแหน่งห่างกัน เช่น
                ขนมจีบเจ้าจีบห่อ                                                                 งามสมส่อประพิมพ์ประพาย
นึกน้องนุ่งฉีกทวาย                                                                                             ชายพกจีบกลีบแนบเนียน
                ในตัวอย่างกวีทรงใช้คำ “(ขนม)จีบ จีบ(ห่อ) – (ชายพก)จีบ
                ตัวอย่างอื่นได้แก่
ทองหยิบทิพย์เทียบทัด                                                                       สามหยิบชัดน่าเชยชม
หลงหยิบว่ายาดม                                                                                 ก้มหน้าเมิลเขินขวยใจ
                ในตัวอย่างนี้ทรงใช้คำ “(ทอง)หยิบ – (สาม)หยิบ หยิบ(ยาดม)
                ที่เป็นการซ้ำคำในตำแหน่งต้นวรรค เช่น
                คิดรูปน่ารักเหลือ                                                                 คิดนุ่มเนื้อน่าเชยชม
คิดเนตรขำค้อนคม                                                                                              ผมหอมชื่นรื่นรสคนธ์
                ในตัวอย่างข้างต้นมีวิธีการใช้คำคำเดียวกันที่ต้นวรรคที่หนึ่ง วรรคที่สอง และวรรคที่สาม เป็นการเน้นความหมายขอคำดังกล่าว คือ เน้นย้ำความคิดถึงของกวี กล่าวคือ ทรงคิดถึงพระรูปโฉมที่น่ารักของพระนาง พระมังสาอันอ่อนนุ่มของพระนาง และพระเนตรที่งามคมของพระนาง
                ที่เป็นการซ้ำคำในตำแหน่งที่หลากหลาย เช่น
เดือนแรมเหมือนเรียมค้าง                                                                เรื่องรักร้างแรมขนิษฐา
แรมรสแรมพจนา                                                                                                แรมเห็นหน้านิ่งนอนแรม
                ตัวอย่างข้างต้นนี้แสดงวิธีการซ้ำคำคำเดียวกันที่ปรากฏในหลากหลายตำแหน่ง มีทั้งซ้ำคำระหว่างวรรคทุกวรรค ได้แก่ ซ้ำคำว่า แรมการซ้ำคำต้นวรรคดังปรากฏที่ต้นวรรคสามกับต้นวรรคสี่ และการซ้ำคำระหว่างคำต้นวรรคกับคำในวรรคดังปรากฏในวรรคสามและวรรคสี่ทำให้เกิดความไพเราะของเสียงคำที่ซ้ำกัน และความคมคายด้านความหมาย กล่าวคือ เดือนข้างแรมที่ค้างอยู่ในท้องฟ้าทำให้กวีทรงคิดถึงความรักของพระองค์ที่ยังค้างคา คือ ยังไม่สำเร็จสมพระประสงค์ เพราะยังทรงแรมร้างจากความรักและทรงพลัดพรากจากนาง มีผลให้ทรงไม่มีโอกาสได้รับทั้งรสอาหารที่นางทรงปรุงแต่งและรสเสน่หาของนาง ทรงไม่มีโอกาสรับสั่งกับนาง ทรงไม่มีโอกาสทอดพระเนตรเห็นนาง และทำให้ทรงต้องบรรทมนิ่งและแรมคืนนอกหอห้อง
                การซ้ำคำในตำแหน่งต่างๆ ที่หลากหลายเช่นนี้ ทำให้เกิดความไพเราะของเสียงคำในท่วงทำนองของลีลาและจังหวะที่แตกต่างกัน ทำให้ไม่ซ้ำซาก และเป็นเสน่ห์ที่น่าฟังอย่างหนึ่งของกาพย์เห่เรื่องนี้
                อนึ่ง การซ้ำคำดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นการเล่นคำวิธีหนึ่ง ดังปรากฏในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๑๐๓๑) ที่กล่าวถึงการเล่นคำว่าเป็นการ ใช้กลการประพันธ์ในการแต่งบทร้อยกรองด้วยการซ้ำคำหรืออักษรให้เกิดเสียงเสนาะ หรือให้มีความหมายที่ลึกซึ้งกินใจยิ่งขึ้น
                การใช้คำสลับที่ เป็นการใช้กลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำ ๒ คำเหมือนกัน แต่วางคำสลับที่กัน
                ในพจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมอังกฤษ ไทย  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๕ : ๒๒๘) เรียกว่าการสลับคำ และอธิบายว่าเป็นการใช้ภาษาเพื่อเน้นความหมายหรือเพื่อให้ได้ผลทางกวีนิพนธ์
                การใช้คำสลับที่เป็นลักษณะเด่นประการหนึ่งของภาษาไทย สามรถสลับตำแหน่งของคำ แล้วทำให้เกิดความหมายต่างกันได้ เช่น ไข่ไก่ ไก่ไข่  แน่นหนา หนาแน่น  ไปเที่ยว เที่ยวไป  เรือโคลง โคลงเรือ  หันเห เหหัน ลักษณะการใช้คำเช่นนี้แสดงความสามารถของกวีได้ดีอย่างหนึ่ง ที่พบในกาพย์แห่เรื่องนี้ ได้แก่
 ตาลเฉาะเหมาะใจจริง                                                                       รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ
คิดความยามพิสมัย                                                                                              หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น
                ในตัวอย่างนี้ กวีทรงเล่นคำ เย็นยิ่ง ยิ่งเย็นซึ่งสื่อความหมายว่ามีรสเย็นที่ก่อให้เกิดความรู้สึกชื่นใจมาก และทำให้เย็นใจ หรือสบายใจ
                การใช้คำหลาก หมายถึงการใช้ทำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่มีรูปคำต่างกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงใช้คำนี้กระจายอยู่ในที่ต่างๆ ซึ่งช่วยเสริมความให้แก่กันและกัน ลักษณะเช่นนี้สะท้อนให้เห็นความรอบรู้เรื่องคำต่างๆ ของพระองค์ได้อย่างดียิ่ง
                ผู้วิจัยพบว่ากวีทรงใช้คำหลากเพื่อเน้นการสื่อความหมายสำคัญๆ ในที่นี้จะกล่าวถึงคำหลาก ๑๐ กลุ่มที่เน้นการสื่อความหมายต่างๆ ที่เสริมความหมายของสาระสำคัญในกาพย์เห่นิราศเรื่องนี้ ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
                กลุ่มที่ ๑ ได้แก่ คำหลากที่สื่อความหมายเรื่อง การคะนึงครวญของกวี ผู้วิจัยพบว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงครวญคิดถึงสมเด็จพระศรีสุริ-เยนทราบรมราชินีในความคิดคำนึง เริ่มจากทรงคิดถึงนางและเครื่องเสวยที่นางทรงเคยปรุงและจัดแต่งอย่างประณีตที่ติดตรึงอยู่ในควาทรงจำของกวี ทั้งนี้ เพื่อทรงชื่นชมพระปรีชาสามารถอันเป็นเลิศของพระนางเรื่องการปรุงแต่งเครื่องเสวยซึ่งเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางในราชสำนักสมัยนั้น และขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นความทรงจำของกวีเกี่ยวกับนางที่ทรงรัก ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำเรื่องรูปลักษณ์อันสวยงามของนาง ข้าวของเครื่องใช้ของนาง ความมีน้ำใจของนางที่เอื้ออาทรต่อความทุกข์สุขของกวี พฤติกรรมของนางในโอกาสต่างๆ หรือความรักความหลังระหว่างกวีกับนาง ยิ่งกวีทรงกล่าวถึงความทรงจำเหล่านี้มากเพียงใด ก็ยิ่งแสดงให้เห็นความรักและความคิดถึงนางของกวีมากเพียงนั้น ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นการครวญของกวีผ่านความคิดคำนึงอย่างชัดเจนโดยทรงใช้คำต่างๆ ที่มีความหมายว่าคิดถึงได้อย่างหลากหลายยิ่ง ดังนี้
ช้าช้าพล่าเนื้อสด                                                                                 ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม                                                                                              สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์

                ล่าเตียงคิดเตียงน้อง                                                                            นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล                                                                                             ยลอยากนิทร์คิดแนบนอน

                ตาลเฉาะเหมาะใจจริง                                                                        รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ
คิดความยามพิสมัย                                                                                              หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น
                หานห่วงม่วงหมอนทอง                                                                   อีกอกร่องรสโอชา
คิดความยามนิทรา                                                                                              อุราแนบแอบอกอร

ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น                                                                                    เรียกส้มฉุนใช้นามกร
หวนถวิลลิ้นลมงอน                                                                                           ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน

                พลับจีนจักด้วยมีด                                                                               ทำประณีตน้ำตาลกวน
คิดโอษฐ์อ่อนยิ้มยวน                                                                                          ยลยิ่งพลับยับยับพรรณ

สละสำแลงผล                                                                                      คิดลำต้นแน่นหนาหนาม
ท่าทิ่มปิ้มปืนกาม                                                                                 นามสละมละเมตตา

                ขนมจีบเจ้าจีบห่อ                                                                 งามสมส่อประพิมพ์ประพาย
นึกน้องนุ่งฉีกทวาย                                                                                             ชายพกจีบกลีบแนบเนียน

                รสรักยักลำนำ                                                                                       ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน                                                                                               เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม

งามจริงจ่ามงกุฎ                                                                                  ใส่ชื่อดุจมงกุฎทอง
เรียนร่ำคำนึงปอง                                                                                                สะอิ้งน้องนั้นเคยยล
บัวลอยเล่ห์บัวงาม                                                                               คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล                                                                                              สถนนุชดุจปทุม
                               
ช่อม่วงเหมาะมีรส                                                                              หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไบคลุม                                                                                                       หุ้มห่มม่วงดวงพุดตาน
                               
ฝอยทองเป็นยองใย                                                                             เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
คิดความยามยาวมาลย์                                                                                         เย็บชุนใช้ไหมทองจีน
                คำว่า คิด”  “ห่วง”  “ถวิล”  “ยล”  “คำนึงในตัวอย่างข้างต้นมีความหมายเหมือนกัน คือ นึก เห็น นึกถึง คิดถึง  คำว่า ยลในที่นี้มีความหมายว่าคิดว่า เหมือนดังที่พูดกันโดยทั่วไปว่า คุณเห็นว่าเป็นอย่างไรหรือ ฉันเห็นว่าเรื่องนี้น่าสนใจการใช้คำต่างๆ ที่มีความหมายอย่างเดียวกันนี้เป็นลักษณะเด่นประการหนึ่งของกาพย์เห่เรื่องนี้ กล่าวคือ ส่วนใหญ่แล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมิได้ทรงครวญถึงนางจากสิ่งที่ทอดพระเนตรเห็นหรือจากกลิ่นหอมที่ทรงสัมผัสได้อย่างกวีส่วนใหญ่ที่แต่งนิราศ แต่ทรงคร่ำครวญรำพันความอาลัยรักนางจากสิ่งหรือเรื่องที่ติดตรึงอยู่ในพระทัยหรือในความทรงจำของพระองค์เอง หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าเครื่องกระตุ้นความทุกข์โศกของกวีในกาพย์เห่เรื่องนี้ก็คือความทรงจำต่างๆ ของกวีที่เกี่ยวข้องกับนางที่ทรงรักนั่นเอง
                กลุ่มที่สอง ได้แก่ กลุ่มคำหลากที่สื่อความหมายเรื่องการพลัดพรากของกวีกับนาง พบในการใช้คำหลากจำนวนหลายคำ ได้แก่ คำว่า ห่าง” “ไกล” “จาก” “แคล้ว” “แรม” “แรมไกล” “ร้าง” “ร้างห่าง” “พราก” “พรากจากนอกจากนี้ยังพบในคำอื่นที่สื่อความหมายของการพลัดพรากจากกัน เช่น ไม่เห็นน้อง” “ห่อนเห็นมิ่งมารศรี” “ไม่เห็นเจ้าดังปรากฏในข้อความของเนื้อหาทุกตอน ดังนี้
                หมูแนมแหลมเลิศรส                                                                         พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง                                                                                              ห่างห่อหวนป่วนใจโหย

เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า                                                                        รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลใจอาวรณ์                                                                                                ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง
                               
รังนกนึ่งน่าซด                                                                                     โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง                                                                                             เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน

ผลจากเจ้าลอยแก้ว                                                                               บอกความแคล้วจากจำเป็น
จากช้ำน้ำตากระเด็น                                                                                           เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง

ลำเจียกชื่อขนม                                                                                    นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย                                                                                             โหยไห้หาบุหงางาม

ขนมผิงผิงผ่าวร้อน                                                                              เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน
ร้อนนักรักแรมไกล                                                                                             เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง

เรียมเตร่ตรวจทุกช่อง                                                                         ไม่เห็นน้องเนื้อนวลจันทร์
ว้าหวิ้นดิ้นแดยัน                                                                                                  หันเห็นท่าชิงช้าโยน
เดือนแรมเหมือนเรียมค้าง                                                                                เรื่องรักร้างแรมขนิษฐา
แรมรสแรมพจนา                                                                                                แรมเห็นหน้านิ่งนอนแรม

ดลเดือนมะหะหร่ำเจ้า                                                                        เซ็นปี ใหม่แม่
มะหง่นประปรานทวี                                                                                         เทวศไห้
ห่อนเห็นมิ่งมารศรี                                                                                             เสมอชีพ มานา
เรียมลูบอกไล้ไล้                                                                                                  คู่ข้อนทรวงเซ็น

มะหะหร่ำเรียมคอยเคร่า                                                                    ไม่เห็นเจ้าเศร้าเสียใจ
ลูบอกโอ้อาลัย                                                                                                      ลาลศล้ำกำสรวลเซ็น
                จะเห็นได้ว่าคำในกลุ่มที่สองซึ่งสื่อความหมายของการพลัดพรากมีจำนวนหลายคำ ได้แก่ ห่าง ไกล จาก แคล้ว แรม แรมไกล ร้าง ร้างห่าง พราก พรากจาก ไม่เห็น ห่อนเห็น ไม่เห็น
                กลุ่มที่สาม ได้แก่ กลุ่มคำหลากที่สื่อความหมายเรื่องการร้องไห้ซึ่งมีทั้งการร้องไห้ของนางและการร้องไห้ของกวี ปรากฏในคำว่า น้ำตากระเด็น” “ร่ำไห้” “จาบัลย์” “เทวศไห้ดังพบในข้อความต่อไปนี้
                ผลจากเจ้าลอยแก้ว                                                                               บอกความแคล้วจากจำเป็น
จากช้ำน้ำตากระเด็น                                                                                           เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง

แรมค่ำร่ำไห้หวน                                                                                แห่อิศวรย่ำยามยิน
เคยเห็นเป็นอาจิณ                                                                                               ช้าหงส์เห่เล่ห์ลมพราหมณ์
อ่อนหวานสารเสนาะ                                                                         เพราะอักษรกลอนพาดพัน
แจ้วเจื้อยใจจาบัลย์                                                                                               ทุกวันหวังฟังเสียงสมร

ดลเดือนมะหะหร่ำเจ้า                                                                        เซ็นปี ใหม่แม่
มะหง่นประปรานทวี                                                                                         เทวศไห้
ห่อนเห็นมิ่งมารศรี                                                                                             เสมอชีพ มานา
เรียมลูบอกไล้ไล้                                                                                                  คู่ข้อนทรวงเซ็น
                กลุ่มที่สี่ ได้แก่ กลุ่มคำหลากที่สื่อความหมายเรื่องความร้อนใจเพราะพลัดพรากจากนาง ปรากฏในการใช้คำหลากว่า รุ่ม รุ่มเร้าคือไฟฟอน” “ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง” “ผ่าวร้อน” “เพียงไฟฟอน ฟอกทรวงใน” “ร้อนนักดังปรากฏในข้อความต่อไปนี้
                เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า                                                                        รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลใจอาวรณ์                                                                                                ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง

ขนมผิงผิงผ่าวร้อน                                                                              เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน
ร้อนนักรักแรมไกล                                                                                             เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง
                กลุ่มที่ห้า ได้แก่ กลุ่มคำหลากที่สื่อความหมายของความเจ็บปวดพระทัยเพราะการพลัดพราก พบในคำ เด็ดแดดิ้น” “ดิ้นแดยันพบในข้อความต่อไปนี้
                เดือนสิบเอ็ดเด็ดแดดิ้น                                                                       ยามกฐินทุกวันคอย
เห็นเรือไล่ถี่ซอย                                                                                                  กลอยกลับเห็นเช่นแรกสม
เรียมเตร่ตรวจทุกช่อง                                                                         ไม่เห็นน้องเนื้อนวลจันทร์
ว้าหวิ้นดิ้นแดยัน                                                                                                  หันเห็นท่าชิงช้าโยน
                กลุ่มที่หก ได้แก่ กลุ่มคำหลากที่สื่อความหมายของความเศร้าอาลัยเพราะพลัดพราก ปรากฏในคำว่า รุมทรวงเศร้า” “ใจอาวรณ์” “เร่งอาวรณ์” “โอ้อาลัย” “ลาลศและ กำสรวลพบในข้อความต่อไปนี้
เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า                                                                        รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลใจอาวรณ์                                                                                                ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง

ห้าค่ำย่ำยามปลาย                                                                                แห่นารายณ์เร่งอาวรณ์
อยู่ใกล้จะใคร่จร                                                                                                   ไปรับเจ้าเคล้าคลอมา

มะหะหร่ำเรียมคอยเคร่า                                                                    ไม่เห็นเจ้าเศร้าเสียใจ
ลูบอกโอ้อาลัย                                                                                                      ลาลศล้ำกำสรวลเซ็น
                กลุ่มที่เจ็ด ได้แก่ กลุ่มคำหลากที่สื่อความหมายของความโหยหา ปรากฏในคำว่า ป่วนใจโหยและ โหยไห้หาพบในข้อความต่อไปนี้
                หมูแนมแหลมเลิศรส                                                                         พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง                                                                                              ห่างห่อหวนป่วนใจโหย

ลำเจียกชื่อขนม                                                                                    นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย                                                                                             โหยไห้หาบุหงางาม
                กลุ่มที่แปด ได้แก่ กลุ่มคำหลากที่สื่อความหมายของการรอคอยด้วยความทุกข์ ปรากฏในคำว่า เป็นทุกข์ท่า” “คอยเคร่าพบในข้อความต่อไปนี้
                ผลจากเจ้าลอยแก้ว                                                                               บอกความแคล้วจากจำเป็น
จากช้ำน้ำตากระเด็น                                                                                           เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง

มะหะหร่ำเรียมคอยเคร่า                                                                    ไม่เห็นเจ้าเศร้าเสียใจ
ลูบอกโอ้อาลัย                                                                                                      ลาลศล้ำกำสรวลเซ็น
                กลุ่มที่เก้า ได้แก่ กลุ่มคำหลากที่สื่อความหมายของการทุบตีอกเพื่อแสดงความทุกข์และโศกเศร้า ปรากฏในคำว่า ข้อนอก” “ข้อนทรวง” “ประปราณ” “ตีทรวงประหารและ ประหารอกดังนี้
แกงไก่มัสมั่นเนื้อ                                                                                นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน                                                                                                 เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์                                                                                             พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน                                                                                         อกไห้หวนแสวง

ดลเดือนมะหะหร่ำเจ้า                                                                        เซ็นปี ใหม่แม่
มะหง่นประปรานทวี                                                                                         เทวศไห้
ห่อนเห็นมิ่งมารศรี                                                                                             เสมอชีพ มานา
เรียมลูบอกไล้ไล้                                                                                                  คู่ข้อนทรวงเซ็น

เซ็งแซ่เสียงเภรี                                                                                    ปานเรียมตีทรวงประหาร
พาทย์ฆ้องก้องกังวาน                                                                                         สารดุจน้องร้องเรียกเรียม

ดลเดือนเรียกมะหะหร่ำ                                                                     ขึ้นสองค่ำแขกตั้งการ
เจ้าเซ็นสิบวันวาร                                                                                                ประหารอกฟกฟูมนัยน์
                คำกลุ่มนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นคำที่สื่อความหมายของการแปลเปลี่ยนความทุกข์ภายในพระทัยของกวีออกเป็นพฤติกรรมในตอนท้ายของเรื่อง
                ผู้วิจัยมีความเห็นว่าคำหลากกลุ่มต่างๆ ข้าต้นมีบทบาทในการเสริมความหมายของแก่นเรื่องในกาพย์เห่เรื่องนี้ หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าความหมายของคำหลากเหล่านี้เสริมความหมายให้แก่กันและกันจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือเป็นเอกภาพกับแก่นเรื่องในกาพย์เห่เรื่องนี้
                การใช้คำที่มีความหมายหลายนัยนักวิจารณ์สมัยใหม่มีความเห็นว่าการ
ใช้ภาษาที่มีความหมายหลายนัย (Ambiguity) เป็นการแสดงสติปัญญาและความรุ่มรวยทางความหมายของภาษา นักวรรณคดีเห็นว่าภาษาที่มีความหมายหลายนัยนี้เป็นภาษาที่ประณีตและเป็นลักษณะเด่นของภาษาในกวีนิพนธ์ (Peter Childs and Roger Fowler,2006:6)
                ในพจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมอังกฤษ ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๕: ๑๖) อธิบายความหมายของคำว่า ambiguity”ซึ่งในหนังสือดังกล่าวเรียกว่า ความกำกวมและอธิบายผลการใช้คำดังกล่าวที่มีทั้งไม่ดีและดี แต่ก็ยอมรับว่ามักเกิดผลดีเมื่อนำมาใช้ในวรรณคดี
                คำอธิบายดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับการใช้คำเช่นนี้ในวรรณคดี มีดังนี้
                ในวรรณคดี คำจะแสดงความหมายในการเสนอแนะความหมายที่เหมาะสมเท่าๆกันตั้งแต่ ๒ ความหมายขึ้นไปในบริบทที่กำหนดให้ในการถ่ายทอดความหมายอันเป็นแก่นแท้ และนำความหมายนั้นไปประกอบกับความหมายรองที่มีความหมายและมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น รวมทั้งการทำให้เกิดมีความหมาย ๒ ความหมายขึ้นในเวลาเดียวกัน
                ไอ.เอ.ริชาร์ดส์  เรียกว่าเป็น ความอุดมสมบูรณ์ของภาษา
                ในที่นี้ผู้วิจัยจะไม่เรียกการใช้คำดังกล่าวว่าความกำกวม แต่ขอเรียกว่าความหมายหลายนัย
                ในพจนานุกรมฉบับดังกล่าวข้างต้นยังอธิบายเพิ่มเติมว่าความหมายหลากหลายที่เกิดจากพลังของคำ ที่กระตุ้นให้มีกระแสความคิดต่างๆ หลายกระแสพร้อมๆกันได้ และทุกกระแสความคิดล้วนมีความหมายด้วยนั้นเป็นลักษณะพิเศษของความรุ่มรวยทางภาษาและความเข้มข้นในการสร้างสรรค์บทกวีที่ยิ่งใหญ่
                อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยมีความเห็นว่าการพิจารณาความหมายของคำที่มีความหมายหลายนัยนี้ไม่สามารถตีความได้ตามใจชอบ แต่ต้องอยู่ในบริบทของความหมายที่สอดคล้องหรือสัมพันธ์กับสาระสำคัญของเรื่องที่อ่าน จึงจะทำให้ การตีความของทุกกระแสความคิดล้วนเป็นความหมายที่ใช้ได้” (พจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมอังกฤษ ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน , ๒๕๔๕: ๑๖)
                ตัวอย่างการใช้คำที่มีความหมายหลายนัย ได้แก่
                ล่าเตียงคิดเตียงน้อง                                                                            นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล                                                                                             ยลอยากนิทร์คิดแนบนอน
                “เมืองบนในที่นี้อาจตีความว่าหมายถึงเมืองเหนือซึ่งมีไม้สักหรือไม้สักทองจำนวนมากที่สามารถนำมาทำเตียงได้อย่างสวยงาม และความหมายนี้ก็มีใช้ในเรื่อง ยวนพ่ายโคลงดั้นหรืออาจตีความหมายว่าเป็นเมืองสวรรค์ก็ได้
                กุสุมา  รักษมณี (บรรยาย, ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๒) มีความเห็นว่าหากใช้ในความหมายหลัง จะสามารถจิตนาการความสวยงามของเตียงทองนี้ว่างามเลิศสมกับที่ทำในเมืองสวรรค์ก็ได้
                                ตัวอย่างอื่น เช่น
ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง                                                                      เป็นโฉมน้องหรือโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน                                                                                        ใคร่ครวญรักผักหวานนาง
                “ผักหวานนางในที่นี้ตีความหมายได้ ๒ อย่าง อย่างแรกหมายถึงผักหวานที่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีทรงปรุงได้อย่างเลิศรส ทำให้กวีทรงปรารถนาที่จะได้เสวยอีก ความหมายอย่างที่สองหมายความว่ากวีทรงเปรียบความหวานในพระวรกายของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีเหมือนความหวานของผักหวาน โดยนัยนี้ ผักหวานนางเป็นความเปรียบแบบอุปลักษณ์
                นอกจากนี้ ยังพบในบทเห่ชมผลไม้ ดังนี้
                ตาลเฉาะเหมาะใจจริง                                                                        รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ
คิดความยามพิสมัย                                                                                              หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น
                “ตาลเฉาะในที่นี้กวีทรงใช้ ๒ ความหมาย ความหมายแรกหมายถึง ผลตาลเฉาะซึ่งเป็นผลไม้สดที่ได้จากต้นตาล ส่วนความหมายที่สองหมายถึงเครื่องเพศของนางซึ่งกวีคงจะเห็นว่ามีรูปลักษณ์คล้ายผลตาลเฉาะ โดยนัยนี้ ตาลเฉาะเป็นความเปรียบแบบอุปลักษณ์
                ตัวอย่างต่อไป ได้แก่
ลางสาดแสวงเนื้อหอม                                                                       ผลงอมงอมรสหวานสนิท
กลืนพลางทางเพ่งพิศ                                                                                         คิดยามสารทยาตรามา
                “เนื้อหอมในที่นี้ตีความหมายได้ ๒ อย่าง ความหมายแรก หมายถึงเนื้อลางสาดที่มีความหอมหวาน อีกความหมายหนึ่งหมายถึงเนื้อหอมหวานของลางสาดและเนื้อหอมของนางผู้ที่กวีทรงรัก หมายความว่าเมื่อกวีเสวยเนื้อลางสาด และทรงได้รสหอมหวานของลางสาดกระตุ้นให้กวีทรงปรารถนาที่จะได้เชยชมเนื้อหอมของหญิงที่ทรงรัก ในที่นี้เห็นได้ว่าความหมายหลังนี้มีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าความหมายในตัวอย่างอื่นที่กล่าวมาข้างต้น
                นอกเหนือจากนี้ในบทเห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์ก็ปรากฏการใช้คำที่มีความหมายหลายนัยเช่นกัน ดังตัวอย่าง
เห็นนวลครวญครุ่นคิด                                                                       กำเริบจิตวาบหวั่นไหว
ไปได้ก็จะไป                                                                                                         โอบเอวอุ้มพุ่มพวงพยุง
                “พุ่มพวงในที่นี้มี ๒ ความหมาย ความหมายแรก คือ หญิงสาว (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒, ๒๕๔๖: ๗๙๖) ซึ่งในที่นี้คือนางที่ทรงรัก หมายถึงสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ส่วนความหมายที่สอง หมายถึงถันของนางที่มีรูปทรงเป็นพุ่ม มีทรงกลม และยอดนูนคล้ายกระพุ่มมือ  (พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน , พ.ศ.๒๕๔๒, ๒๕๔๖: ๗๙๖) ในที่นี้ คือ กวีทรงนึกถึงถันที่เหมือนพุ่มซึ่งคล้ายดอกบัวตูมของนางที่ทรงรัก
                “พุ่มพวงพยุงในความหมายที่สองนี้จึงน่าจะหมายความว่ากวีทรงประคองถันของนางไว้ คำนี้จึงแสดงทั้งความหมายที่ลึกซึ้ง และอารมณ์รักใคร่ของกวีได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
                การตีความคำ พุ่มพวงดังกล่าวข้างต้นของผู้วิจัยน่าจะถูกต้อง เพราะในพระราชนิพนธ์เสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน (๒๕๑๓ : ๙๑) ตอนพลายแก้วเป็นชู้กับ นางพิม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็ทรงใช้คำนี้ในความหมายว่าหน้าอกของผู้หญิง แต่ในเรื่องนั้นใช้คำสลับกันว่า พวงพุ่มดังนี้
                ช้อนคางพลางจูบประคองชม                                                           แนบเนื้อแนบนมเจ้าผ่องใส
พวงพุ่มตูมตั้งยังเป็นไต                                                                                      อาลัยลูบโลมทั้งกายา
                การใช้คำกระชับที่กินความมาก เป็นการใช้คำจำนวนน้อย แต่กินความหมายมากกว่าคำที่ปรากฏให้เห็น เช่น
                ทุเรียนเจียนตองปู                                                                                เนื้อดีดูเหลืองเรืองพราย
เหมือนสีฉวีกาย                                                                                                   สายสวาทพี่ที่คู่คิด
                ในตัวอย่างข้างต้น เจียนตองมีความหมายว่าตัดใบกล้วยหรือใบตอง ส่วน ปูมีความหมายว่ารองไว้ ข้อความ ทุเรียนเจียนตองปูมีความหมายว่านางทรงเจียนใบตองให้เป็นแผ่นสวยงาม แล้วนำมารองเนื้อทุเรียนสีเหลืองที่แกะออกจากเปลือก นับว่ากวีทรงใช้คำน้อยแต่กินความได้มาก ทั้งยังสื่อให้เกิดภาพอย่างชัดเจนด้วย
                ตัวอย่างต่อไป ได้แก่
                หมากปางนางปอกแล้ว                                                                      ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง
ยามชื่นรื่นโรยแรง                                                                                              ปรางอิ่มอาบซาบนาสา
                ในตัวอย่างข้างต้น คำ ชื่นมีความหมายว่าสดชื่น แช่มชื่น ส่วน รื่นมีความหมายว่ารื่นรมย์ การใช้คำว่า ชื่นและ รื่นจึงถือเป็นการใช้คำสั้นๆ ซึ่งมีความหมายเสริมความซึ่งกันและกัน
                ตัวอย่างต่อไป ได้แก่
ผลเงาะไม่งามแงะ                                                                              มล่อนเมล็ดและเหลือปัญญา
หวนเห็นเช่นรจนา                                                                                             จ๋าเจ้าเงาะเพราะเห็นงาม
                ในตัวอย่างข้างต้น หวนเห็นเช่นรจนามีความหมายว่ากวีเห็นเงาะที่เป็นผลไม้แล้วทรงหวนคิดถึงนางรจนาในเรื่อง สังข์ทองที่เสี่ยงพวงมาลัยเลือกเจ้าเงาะเป็นคู่ครอง ส่วน จ๋าเจ้าเงาะเพราะเห็นงามมีความหมายว่านางรจนารับเจ้าเงาะหรือเลือกเจ้าเงาะเพราะเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ข้างในตัวของเจ้าเงาะ คำว่า จ๋าในที่นี้คือคำขานรับ มีความหมายว่ารับเจ้าเงาะเป็นคู่ครอง
ลำเจียกชื่อขนม                                                                                    นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย                                                                                             โหยไห้หาบุหงางาม
                “คิดโฉมฉมหอมชวนโชยในที่นี้มีความหมายว่า เมื่อกวีทรงนึกถึงขนมเกสรลำเจียก ก็ทรงคิดถึงกลิ่นหอมของเกสรดอกลำเจียกที่โชยมาจากกายนาง ด้วยว่านางทรงใช้เกสรดอกลำเจียกอบผ้าให้มีกลิ่นหอม ส่งผมให้กวีทรงปรารถนาที่จะได้เชยชมนาง
                ผู้วิจัยมีความเห็นว่าการตีความหมายของ คิดโฉมฉมหอมชวนโชยที่มีความหมายสัมพันธ์กับความหอมของเกสรดอกลำเจียกของผู้วิจัยน่าจะถูกต้อง เพราะบรรจบ พันธุเมธา กล่าวว่าคนไทยนิยมนำเกสรลำเจียกมาใช้อบผ้าที่จะสวมใส่ให้มีกลิ่นหอม และความหอมนี้จะอยู่คงทนนานพอสมควรเลยทีเดียว เมื่อนางในกาพย์เห่นี้ทรงพระภูษาที่อบให้มีกลิ่นหอมด้วยเกสรดอกลำเจียง กลิ่นหอมของเกสรดอกลำเจียกก็ย่อมโชยออกมาให้ผู้เข้าใกล้ได้กลิ่นด้วย
                ผู้วิจัยยังพบว่าในเสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน ตอนขุนแผนจะพานางวันทองลงจากเรือน และวันทองจะหยิบผ้าที่จะนำติดตัวไปใช้ในป่าด้วย มีข้อความบรรยายว่า เปิดหีบหอมฟุ้งจรุงใจ” (๒๕๑๓ : ๒๙๔) ข้อความนี้น่าจะสนับสนุนความถูกต้องในการตีความหมายข้างต้นของผู้วิจัยได้ดี
รสรักยักลำนำ                                                                                       ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน                                                                                               เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม
                ในตัวอย่างข้างต้น นิ้วนางเจียนมีความหมายว่า นิ้วของนางขณะที่ทรงเจียนใบตองที่จะใช้ห่อขนมเทียน ส่วน เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลมมีความหมายว่ากวีทรงเปรียบเทียบนิ้วของนางว่ากลมงามประหนึ่งลำเทียนที่หล่อขึ้น แล้วเหลาหรือเกลาให้มีความกลมกลึงอย่างสวยงาม
                การใช้คำจินตภาพ  คำว่า คำจินตภาพในที่นี้หมายถึงคำที่ให้ภาพอย่างเด่นชัดโดยไม่ต้องใช้ความเปรียบ เช่น
                ช้าช้าพล่าเนื้อสด                                                                                 ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม                                                                                              สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์
                “รสหื่นหอมในที่นี้ให้ภาพของกวีที่มีความปรารถนาทางโลกียรสได้อย่างชัดเจน เพราะ หื่นมีความหมายว่ามีความอยากทางกามารมณ์อย่างแรงกล้า (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒, ๒๕๔๖: ๑๒๙๖)
                เทโพพื้นเนื้อท้อง                                                                                เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน                                                                                             ของสวรรค์เสวยรมย์
                ในตัวอย่างข้างต้น เป็นมันย่องให้ภาพเนื้อปลาเทโพที่มีน้ำมันอย่างชัดเจน ส่วน ล่องลอยมันให้ภาพน้ำมันปลาที่ลอยขึ้นมาบนผิวหน้าของน้ำต้มยำปลาเทโพอย่างเด่นชัด
                ตัวอย่างต่อไป ได้แก่
ผลจากเจ้าลอยแก้ว                                                                               บอกความแคล้วจากจำเป็น
จากช้ำน้ำตากระเด็น                                                                                           เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง
                “น้าตากระเด็นสื่อความหมายของการร้องไห้อย่างหนัก เพราะถ้าไม่ร้องไห้มากจนน้ำตารวมกันจนได้ขนาดเป็นเม็ดโต ก็จะไม่สามารถกระเด็นได้
                การใช้คำที่แฝงความนัย  ทำให้อ่านแล้วต้องคิดหรือ ค้นหาความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ จึงจะเข้าใจความหมายที่กวีทรงสื่อได้โดยการพิจารณาร่วมกับเนื้อความในตอนอื่น หรือตีความร่วมกับรายละเอียดเกี่ยวกับพระราชประวัติของผู้แต่ง ลักษณะเช่นนี้มีปรากฏหลายแห่ง เช่น
                ความรักยักเปลี่ยนท่า                                                                          ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม                                                                                    ชมไม่วายคลับคล้ายเห็น
                ในตัวอย่างข้างต้นมีความหมายว่าความรักของกวีเปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากที่ศึกษาพระราชประวัติแล้ว ผู้วิจัยพบว่าเปลี่ยนไปเพราะนางเสด็จจากกวีไปเนื่องจากทรงถูกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชลงโทษ ทำให้กวีและนางทรงพลัดพรากจากกัน ก่อให้เกิดความทุกข์โศก โดยที่ก่อนหน้านี้กวีและนางทรงลอบมีความสัมพันธ์กันและมีความสุขที่ได้ทรงครองคู่กัน แม้ว่าจะทรงต้องปิดบังซ่อนเร้นก็ตาม
                        ตาลเฉาะเหมาะใจจริง                                                                        รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ
คิดความยามพิสมัย                                                                                              หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น
                ในตัวอย่างข้างต้นนี้ หมายเหมือนจริงมีความหมายว่าเมื่อกวีทรงคิดถึงผลตาลเฉาะที่ให้รสเย็นชื่นพระทัยยามเสวย ก็ทรงนึกถึงความเย็นชื่นใจยามได้ประทับอยู่กับนาง และทรงนึกถึงว่ารูปลักษณ์ของผลตาลเฉาะนั้นคล้ายกับเครื่องเพศของนาง ทำให้กวีมีพระราชประสงค์ที่จะได้ทอดพระเนตรเห็น ตาลเฉาะของนางขึ้นมาทันที คำว่า หมายเหมือนจริงมีความหมายว่าสิ่งที่พระองค์ทรงตีความหมายดูสมจริงและเหมือนจริงมาก
                ตัวอย่างต่อไป ได้แก่
สละสำแลงผล                                                                                      คิดลำต้นแน่นหนาหนาม
ท่าทิ่มปิ้มปืนกาม                                                                                                 นามสละมละเมตตา
                ในตัวอย่างนี้ กวีทรงกล่าวว่าต้นสละเป็นต้นไม้ที่มีผล เมื่อพิจารณาดูลำต้น พบว่ามีหนามรอบลำต้นอย่างหนาแน่น กวีทรงเปรียบเทียบบางส่วนของต้นสละกับ ปืนกามส่วนที่คล้ายกับ ปืนกามนี้น่าจะได้แก่ดอกสละเพราะมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงเครื่องเพศชายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกสละที่บานแล้วซึ่งจะอ้วนกลมกว่าดอกที่ยังไม่บาน เพราะดอกเล็กๆที่ติดอยู่รอบๆ จะบานพร้อมกัน
                “ท่าทิ่มปิ้มปืนกามในที่นี้ความหมายว่าลักษณะของดอกสละที่ยื่นออกมาคล้ายท่าทีของเครื่องเพศชายยามแสดงบทรักกับผู้หญิง
                ตัวอย่างอื่น ได้แก่
                รสรักยักลำนำ                                                                                       ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน                                                                                               เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม
                “รสรักยักลำนำในที่นี้ซ่อนนัยความหมายอย่างเดียวกับ ความรักยักเปลี่ยนท่าที่ได้กล่าวอธิบายไปแล้ว คือ เมื่อความรักเปลี่ยนไป รสรักก็แปรเปลี่ยนไปด้วย              โดยเปลี่ยนจากความสุขสมเป็นความขมขื่น
                ตัวอย่างอื่น ได้แก่
ทองหยอดทอดสนิท                                                                                           ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง                                                                                                  แต่ลำพังสองต่อสอง
                “ทองม้วนมิดคิดความหลังและ สองปีสองปิดบังในที่นี้คือการลอบมีความสัมพันธ์กันของกวีและนางที่ทั้งกวีและนางทรงปิดบังเป็นความลับไว้ได้นานถึง ๒  ปี
                การใช้ความเปรียบ ในกาพย์เห่เรื่องนี้            กวีทรงใช้ความเปรียบได้อย่างแยบคายยิ่ง เช่น
                ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น                                                                             วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย                                                                                          ฤาจักเปรียบเทียบทันขวัญ
                ในตัวอย่างข้างต้น กวีทรงกล่าวว่าใครก็ตามที่ได้ลิ้มรสก้อยกุ้งที่นางทรงปรุง ใจจะต้องปรารถนาที่จะได้ลิ้มรสอีก เพราะมีรสอร่อยกว่ารสทิพย์หรือรสอาหารที่มีอยู่ในสวรรค์เสียอีก นับว่าเป็นการใช้ความเปรียบแบบอติพจน์หรือความเปรียบเกินจริง แต่ก็สื่อความได้อย่างชัดเจนและแยบคาย
                ตัวอย่างอื่น คือ
                ทับทิมพริ้มตาตรู                                                                                  ใส่จานดูดุจเมล็ดพลอย
สุกแสงแดงจักย้อย                                                                                              อย่างแหวนก้อยแก้วตาชาย
                ในตัวอย่างนี้ กวีทรงใช้ความเปรียบที่เรียกว่าอุปมาคือเปรียบเหมือน หมายความว่าทรงเปรียบเนื้อทับทิมที่แกะเป็นแต่ละเมล็ดแล้วจัดใส่จานว่าแดงงามเหมือนพลอยทับทิมที่หัวแหวนก้อยของนาง
                ตัวอย่างต่อไป ได้แก่
                ขนมผิงผิงผ่าวร้อน                                                                              เพียงไฟฟอนฟอกทรงใน
ร้อนนักรักแรมไกล                                                                                             เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง
                “ผ่าวร้อน เพียงไฟฟอนฟอกทรงในเป็นการใช้ความเปรียบแบบอติพจน์ มีความหมายว่าทุกข์ร้อนในพระทัยเปรียบประดุจไฟร้อนที่คุกรุ่นและสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในอกให้มอดไหม้จนหมดสิ้น นับว่าเป็นความเปรียบที่ให้ภาพและอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างดีเยี่ยม
                ตัวอย่างต่อไป ได้แก่
                บัวลอยเล่ห์บัวงาม                                                                               คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล                                                                                              สถนนุชดุจปทุม
                ในตัวอย่างนี้ กวีทรงใช้ความเปรียบแบบอุปมาและอุปลักษณ์ ที่เป็นความเปรียบแบบอุปมา คือ ทรงเปรียบเทียบรูปลักษณ์ของขนมบัวลอยกับดอกบัวตูมทั่วไปที่มีลักษณะสวยงาม หรืออาจตีความว่าเปรียบบัวงามของนาง คือ ถันของนางที่งามดังดอกบัวตูม นอกจากนี้ยังทรงใช้ความเปรียบแบบอุปลักษณ์ คือ ทรงเปรียบถันของนางว่าเป็น บัวกามหมายความว่าเป็นดอกบัวที่กระตุ้นให้เกิดกามกิเลส
                ลำเจียกชื่อขนม                                                                                    นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย                                                                                             โหยไห้หาบุหงางาม
                “บุหงางามในที่นี้เป็นความเปรียบแบบอุปลักษณ์หมายถึงสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีซึ่งทรงพระสิริโฉมยิ่งและเปรียบเหมือนดอกไม้งาม
                จะเห็นได้ว่ากวีทรงใช้ความเปรียบหลากหลาย มีทั้งความเปรียบแบบอุปมา อุปลักษณ์ และ อติพจน์ ที่ช่วยให้สื่อความหมายและสื่ออารมณ์ความรู้สึกได้อย่างชัดเจน
                การใช้คำลักษณะต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เกิดความงามด้านการใช้ภาษา แสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถของกวีเรื่องวรรณศิลป์ในด้านภาษาอย่างชัดเจนที่ก่อให้เกิดเสียงไพเราะ มีผลต่อการสื่อความที่ตั้งพระทัยแฝงนัยบางประการไว้ซึ่งเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้ค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ มีผลต่อการสื้อความหมายได้แจ่มแจ้ง และมีผลต่อการ เน้นย้ำความหมายและสร้างภาพในใจให้ผู้อ่าน ทำให้สามารถเข้าใจความหมายของเรื่องที่ต้องการสื่อได้อย่างลึกซึ้ง การใช้คำเหล่านี้ส่งผลให้กาพย์เห่เรื่องนี้งามพร้อมทั้งเสียง คำ และความหมาย แสดงให้เห็นพระอัจฉริยภาพด้านอักษรศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้อย่างชัดเจน
                ๑.๒.๒ วรรณศิลป์ด้านกลวิธีการแต่ง ในการแต่งวรณคดี หากผู้แต่งมีความสามารถสูง คือ มีกลวิธีการแต่งที่ล้ำเลิศ จะสามารถนำเสนอเรื่องที่ต้องการได้อย่างน่าสนใจและน่ายกย่อง
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระปรีชาสามารถในการพระราชนิพนธ์
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานได้อย่างยอดเยี่ยม ดังที่ได้สะท้อนให้เห็นจากกลวิธีการพระราชนิพนธ์อย่างมีวรรณศิลป์ดังต่อไปนี้
                ก. กลวิธีที่ทรงนำเครื่องเสวยคาวหวานมาใช้เป็นสื่อในการคร่ำครวญคิดถึงนางและพรรณนาความโศกเศร้าของพระองค์ กลวิธีการกล่าวถึงอาหารที่หญิงคนรักทำหรือกล่าวถึงพืชผักบางชนิดเพื่อโยงไปสู่ความคิดถึงนางนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีปรากฏแล้วในวรรณคดีไทยก่อนหน้า กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานดังนี้
                ใน กำสรวลโคลงดั้นซึ่งเป็นวรรณคดีสำคัญเรื่องหนึ่งในสมัยอยุธยาตอนต้น เมื่อกวีทรงเดินทางถึงเกรียนสวาย ก็ทรงนำความหมายของคำว่า สวายที่แปลว่า มะม่วง มาระพันว่าทรงนึกถึงมะม่วงที่นางทรงผ่านและทรงเห็นภาพดังกล่าวในความนึกคิดได้อย่างแจ่มชัด (วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม ๒, ๒๕๓๐: ๕๒๑) เมื่อกวีทรงเดินทางถึงบางพลู ก็ทรงกล่าวรำพันว่าทรงนึกถึงพลูที่นางเสวยได้อย่างถนัดชัดเจน ทำให้พระทัยดิ้นโหยหานาง (วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม ๒, ๒๕๓๐: ๕๒๖) เมื่อทรงเดินทางผ่านสองฝั่งน้ำที่มีต้นหมาก ทรงได้กลิ่นหอมของดอกหมากและทรงคิดถึงกลิ่นหอมจากพระเกศาของนาง และกระแจะจันทร์ที่นางทรงลูบไล้พระวรกาย (วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม ๒, ๒๕๓๐: ๕๒๙)
                แม้ว่าการกล่าวถึงคุณสมบัติของนางที่ทรงปรุงและจัดแต่งอาหารมีปรากฏในนิราศโบราณหลายเรื่อง แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องใดที่นำชื่ออาหารชนิดต่างๆ จำนวนมากเช่นนี้มากล่าวไว้เหมือนดังที่พบใน กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน”  การที่กวีทรงกล่าวชื่ออาหารต่างๆ ขึ้นนี้ นอกจากจะทรงกล่าวเพื่อชมพระปรีชาสามารถในการปรุงและจัดแต่งเครื่องเสวยคาวหวานของนางที่ทรงรักแล้ว ยังเป็นกลวิธีกล่าวชมความงามของนาง และเป็นสื่อ กลางให้กวีได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกคิดถึงนางได้นางแยบคายด้วย กลวิธีเช่นนี้นอกจากจะแปลกแตกต่างไปจากกวีอื่นแล้ว ยังสอดคล้องกับคุณสมบัติพิเศษของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีหรือสมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้าบุญรอดในสมัยรัชกาลที่ ๑ ที่ทรงได้รับยกย่องว่ามีพระปรีชาสามารถในการปรุงและจัดแต่งเครื่องเสวยได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีหญิงใดในสมัยเดียวกันเทียบได้ แม้ว่าจะมีการชมพระปรีชาสามารถในการปรุงและจัดแต่งเครื่องเสวยคาวหวานอิสลามของสมเด็จพระศรีสุลาลัยปนอยู่บ้างก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับการชมพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระสุริเยนทราบรมราชินีแล้วก็พบว่ามีจำนวนน้อยกว่ามาก
                เมื่อพิจารรากลวิธีการนำชื่ออาหารมากล่าวคิดถึงนาง พบว่ามีหลากหลายวิธี ดังที่ได้กล่าวรายละเอียดไปแล้วในบทที่ ๓ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
                ชื่ออาหาร + รสชาติยอดเยี่ยม
                ชื่ออาหาร + รสชาติยอดเยี่ยมและการจัดแต่งอย่างสวยงามยิ่ง
                ชื่ออาหาร + พฤติกรรมของกวีที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนางหรือพฤติกรรมของนาง
                ชื่ออาหาร + อวัยวะของนางหรือตัวนาง       
                ชื่ออาหาร +  เครื่องใช้ของนาง
                ชื่ออาหาร + ความรู้สึกทุกข์โศกของกวีหรือของนาง
                ชื่ออาหาร +  พฤติกรรมของนาง
                ข. กลวิธีที่ทรงนำเวลาในรอบปีมาเป็นสื่อในการคร่ำครวญคิดถึงนางและพรรณนาความโศกเศร้าของพระองค์ เพื่อสื่อความหมายว่าพระองค์ทรงรู้สึกว่าได้ตรอมตรมอยูในห้วงทุกข์เพราะคิดถึงนางเป็นเวลาเนิ่นนานนับปี กลวิธีเช่นนี้มีมาแล้วใน ทวาทศมาสโคลงตั้นที่กวีทรงใช้เวลาที่เคลื่อนหมุนไปเป็นช่องทางในการครวญคิดนึงนาง โดยเริ่มครวญคิดถึงนางตั้งแต่เดือน ๕ เป็นต้นไปจนถึงเดือน ๔ ซึ่งครบรอบพอดี (วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม ๒, ๒๕๓๐: ๖๘๘ ๗๒๑) และกวีกล่าวสรุปว่าครวญคิดถึงนางจนครบ ๑๒ เดือนหรือ ๑ ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความสุขเพราะยังพลัดพรากจากนางอยู่ (วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม ๒, ๒๕๓๐: ๗๒๗) ดังนี้

                ทวาทศโดยมาสสิ้น                                                                             พรรษา โสดแฮ
ยังบ่สบายเลย                                                                                                        ก่ายแก้ว
เทเวนทร์สุเรนทรา                                                                                              บรเมศ
ยังดำกลด้วยแคล้ว                                                                                                คลาศโฉม

                เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรก็ทรงนำกลวิธีการแต่งเช่นนี้ไปทรงพระนิพนธ์ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก”  โดยทรงพรรณนาความคิดถึงนางเมื่อทรงกล่าวถึงเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะของการแบ่งช่วงเวลาที่ละเอียดมากกว่าใน ทวาทศมาสโคลงดั้น”      กล่าวคือ ทรงแบ่งเวลาออกเป็น ชั่วโมง ยาม วัน เดือน ฤดู ปี มีข้อสังเกตว่าเมื่อทรงครวญคิดถึงนางในเดือนต่างๆ  ทรงเริ่มที่เดือน ๕ และสิ้นสุดที่เดือน ๔ (วรรณกรรมสมัยอยุธยาเล่ม ๒, ๒๕๓๐: ๒๖๑ ๒๖๔)  เหมือนดังที่ปรากฎใน ทวาทศมาสโคลงดั้นและในที่สุดเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงสรุปว่าทรงครวญถึงนางเป็นเวลาถึง ๑๒ ปี อย่างไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย (วรรณกรรมสมัยอยุธยาเล่ม ๒, ๒๕๓๐: ๒๖๘) ดังนี้

                สงสารการโหยไห้                                                                               นางไกลจรอรนารี
ร่ำร้องสิบสองปี                                                                                                   พี่เร่งแคล้วแก้วกัลยา
                สงสารการแหบไห้                                                                              แสนทวี
หายห่างอรนารี                                                                                                    ฝ่ายเฝ้า
ร่ำร้องสิบสองปี                                                                                                   ฤาเหนื่อย
กรรมพี่เร่งแคล้วเจ้า                                                                                            แก่นแก้วกัลยา

                ผู้วิจัยคิดว่าการกวีกล่าวว่าครวญถึง ๑๒ ปีนี้ไม่น่าจะมีความหมายว่ากวีได้คร่ำครวญคิดถึงนางตลอดระยะเวลาที่เคลื่อนผ่านไปถึง๑๒ ปีจริงๆ แต่น่าจะตีความได้ว่าเป้นความรู้สึกของกวีขณะมีความทุกข์ โดยคิดว่าช่วงเวลาในขณะที่กวีจมอยู่ในความทุกข์นั้นเวลาผ่านไปช้ามากประหนึ่งว่ายาวนานถึง๑๒ ปี
                ในกรณีของ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานแม้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจะทรงนำเวลาในรอบ ๑๒ เดือนมาใช้ครวญคิดถึงนางเหมือนกวีผุ้แต่ง ทวาทศมาสโคลงดั้นและ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกคือ เพื่อสื่อความว่าระหว่างที่ทรงพลัดพรากจากนาง กวีทรงรู้สึกว่าเวลาช่างยาวนานเหลือเกิน คือ มีความรู้สึกว่ายาวนานนับได้เป็นปีเลยทีเดียว ความคิดและความรู้สึกเช่นนี้คล้ายคลึงกับความรุ้สึกของกวีผู้แต่ง กำสรวลโคลงดั้น” (วรรณกรรมสมัยอยุธยาเล่ม ๒, ๒๕๓๐: ๕๓๗) ที่กล่าวว่าแม้จากนางเพียงยามเดียว แต่ก็รู้สึกว่ายาวนานนับเป็นปี ดังนี้

                ไกรพรยงตววอาจเต้น                                                                         เห็นเหจ
สาวเชือกชักเรือเรา                                                                                             พี่ร้อง
นางนุชแม่มวยเพญ                                                                                            พิโยค กูเออย
ยามหนึ่งไกลน้องค้ำ                                                                                           ขวบปี

                ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเริ่มครวญคิดถึงนางในเดือน ๓ และสิ้นสุดการครวญในเดือนยี่นี้ไม่ใช่เป็นเพียงการจัดเรียงเวลาให้ชนรอบปีเพื่อสื่อระยะเวลายาวนานนับปีที่ทรงจมอยู่ในห้วงทุกข์อย่างที่พบใน ทวาทศมาสโคลงดั้นและ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก”  เท่านั้น แต่น่าจะทรงวางแผนไว้แล้วว่าเดือนยี่นั้นเป็นเวลาเหมาะสมที่จะทรงนำมาเชื่อมโยงกับอารมณ์ความทุกข์โศกของพระองค์ที่มีความรุนแรงเข้มข้นได้อย่างน่าสะเทือนใจ
                เหตุการณ์ในเดือนยีที่ทรงนำมาบรรยายไว้ในกาพย์เห่เรื่องนี้ ได้แก่ พิธีพญาโยนชิงช้า พิธีตรียัมพวายและตรีปวาย รวมทั้งพิธีแห่เจ้าเซ็นโดยที่ทรงตัดพิธีแห่เจ้าเซ็นออกไปไว้เป็นบทเห่ชุดต่อไปซึ่งเป็นบทเห่ชุดสุดท้ายของ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน”  ที่ทรงมุ่งหมายที่จะสื่ออารมณ์ความสะเทือนใจสูงสุด
                ในตอนท้ายของบทเห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงกล่าวถึงพิธีพญาโยนชิงช้าที่มีคนมาชมพิธีอย่างแออัด แต่พระองค์ก็ไม่ทรงพบนาง แม้จะทรงพยายามทอดพระเนตรหานางทั่วทุกแห่ง ทำให้ทรงคิดถึงนางจนแทบขาดพระทัย ทรงบรรยายว่าพราหมณ์เห่ช้าหงส์ในวันแรม ๑ ค่ำเดือนยี่ ทำให้ทรงคิดถึงเสียงนางที่อ่านฉันท์ทุกเช้าและเย็นอย่างไพเราะ และเพราะกว่าเสียงเห่ช้าหงส์ของพราหมณ์เสียอีก กวีทรงรำพันว่าทรงเฝ้ารออยู่ทกวันที่จะได้สดับเสียงนางอ่านฉันท์หลังจากนั้นทรงกล่าวถึงพิธีแห้ส่งพระนารายณ์สู่เทวโลกในวันแรม ๕ ค่ำเดือนยี่ และครวญว่าหากเสด็จไปรับนางมาได้ ก็จะทรงรีบเสด็จไปทันที แล้วทรงคร่ำครวญในกาพย์บทสุดท้ายของบทเห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์ว่า

                เดือนแรมเหมือนเรียมค้าง                                                                เรื่องรักร้างแรมขนิษฐา
แรมรสแรมพจนา                                                                                                แรมเห็นหน้านิ่งนอนแรม
               
                การครวญเช่นนี้เป็ความตั้งพระทัยที่จะทรงแสดงให้เห็นว่าความทุกข์โศกเศร้าที่อัดแน่นอยู่ภายในพระทัยนั้นมีมากจนทำให้ทรงสิ้นไร้เรี่ยวแรง และทรงต้องบรรทมนิ่งด้วยความทุกข์ตรอมตรมพระทัย
                               
                ค. กลวิธีที่ดึงพิธีกรรมแห่เจ้าเซ็นออกจากเวลาในรอบ ๑๒ เดือนเพื่อเน้นอารมณ์โศกเศร้าของกวีให้เด่นชัดขึ้น แม้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจะทรงใช้เวลาในรอบ ๑๒ เดือน เป็นช่องทางในการพรรณนาคร่ำครวญความคิดถึงและความทุกข์โศกเศร้าของกวีที่มีต่อนางขณะที่ทรงพลัดพรากจากนางนั้น แต่ก็ทรงมีกลวิธีการแต่งที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าที่พบใน ทวาทศมาสโคลงดั้นและในกาพย์เห่เรือที่เป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ในเบื้องต้นทรงกล่าวคิดถึงนางที่พลัดพรากจากไปตั้งแต่เดือน ๓ เป็นต้นไปจนกระทั่งเวลา (ในความคิดคำนึงของกวี) ล่วงเลยไปถึงเดือนยี่ กวีทรงกล่าวถึงพิธีโล้ชิงช้า พิธีแห่พระอิศวร และพิธีแห่พระนารายณ์ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญในเดือนยี่ รวมทั้งความทุกข์โศกเศร้าที่อัดแน่นอยู่ในพระทัยจนกวีทรงอ่อนแรงและบรรทมนิ่งด้วยความตรอมพระทัย ดังปรากฎในกาพย์บทสุดท้ายของบทเห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์
                ในเห่บทเจ้าเซ็น กวีทรงบรรยายว่าทรงคร่ำครวญคิดถึงนางมาจนเดือนมะหะหร่ำซึ่งเป็นเดือนขึ้นปีใหม่ของชาวอิสลามนิกายฮุเซ็นซึ่งในปีที่กวีทรงคร่ำครวญคิดถึงนางนั้น พิธีกรรมแห่เจ้าเซ็นน่าจะอยู่ในเดือนยี่ การกล่าวเช่นนี้สื่อความหมายว่ากวีทรงครวญคิดถึงนางมาจนครบรอบปีหรือ ๑๒ เดือนแล้ว เมื่อกวีกวีทรงคิดถึงเดือนมะหะหร่ำ ก็ทรงนึกถึงพิธีกรรมวำคัญในเดือนนี้ของแขกเจ้าเซ็น ได้แก่ พิธีแห่เจ้าเซ็น ผู้เข้าร่วมขบวนแห่เจ้าเซ็นจะทุบตีอกตัวเองเพื่อแสดงออกซึ่งความรักและความอาลัย พระเจ้าฮุเซ็นที่ถูกสังหารในสงครามศาสนา เมื่อกวีทรงนึกถึงพิธีกรรมนี้ ก็ทรงนึกขึ้นได้ว่าพระองค์น่าจะแสดงความโศกเศร้าและระบายความโศกเศร้าที่อัดแน่นอยู่ในพระทัยแบบแขกเจ้าเซ็นบ้าง จึงทรงลูบพระอุระไปมาเพื่อเลียนแบบการทุบตีอกของแขกเจ้าเซ็น แต่เมื่อทรงทำเช่นนี้แล้ว กลับทรงพบว่าไม่สามารถระบายความทุกข์โศกหรือลดความโศกเศร้าในพระทัยลงได้เลยทั้งยังทรงตระหนักว่าความทุกข์โศกเศร้าของพระองค์มีมากกว่าและรุนแรงกว่าความทุกข์ของแขกเจ้าเซ็นที่รักและอาลัยพระเจ้าฮุเซ็นเสียอีก
                การที่กวีไม่ได้ทรงทุบตีพระอุระดุจการทุบตีอกตนเองของแขกเจ้าเซ็น ในพิธีกรรมแห่เจ้าเซ็น เป็นเพราะกวีสิ้นไร้เรี่ยวแรงตั้งแต่ในตอนท้ายของบทเห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์แล้ว และด้วยความสิ้นไร้เรี่ยวแรง ของกวีนี่เอง จึงได้แต่ทรงลูบพระอุระไปมาเท่านั้น
                ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าการที่กวีทรงเริ่มครวญคิดถึงนางในเดือน ๓ และสิ้นสุดการครวญในเดือนยี่หรือเดือน ๒ เมื่อทรงกล่าวถึงพิธีกรรมแห่เจ้าเซ็นนี้เป็นไปตามแผนการพระราชนิพนธ์ที่ทรงวางไว้อย่างแยบคายยิ่ง นอกจากนี้จะทำให้แปลกแตกต่างไปจากวีอื่นแล้ว ยังส่งผลให้นำเสนออารมณ์ทุกข์โศกของกวีได้อย่างสะเทือนอารมณ์ และทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่ากวีทรงโศกเศร้าคิดถึงนางมากเพียงใด

                ง. กลวิธีที่ทรงเรียงลำดับเนื้อหาเพื่อนำเสนออารมณ์ที่เข้มข้นและรุนแรงขึ้น ผู้วิจัยได้กล่าวรายละเอียดเรื่องนี้ไปแล้วในบทอื่นที่อยู่ก่อนหน้าบทนี้ ในที่นี้จะสรุปแต่เพียงสังเขปว่ากวีทรงเรียงลำดับเนื้อหาจากอารมณ์โศกเศร้าน้อยไปสู่อารมณ์เศร้ามากขึ้น จนกระทั่งความทุกข์โศกนั้นอัดแน่นในพระทัยจนต้องทรงบรรทมนิ่งดังที่ปรากฎในกาพย์บทสุดท้ายของบทเห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์ ต่อมากวีทรงต้องเปลี่ยนความโศกเศร้าที่อัดแน่นในพระทัยนั้นให้เป็นพฤติกรรมลูบพระอุระไปมาเพื่อจะให้บรรเทาความทุกข์โศก แต่แท้จริงแล้วความทุกข์โศกยังมีมากเท่าเดิม หาได้ลดน้อยลงแต่อย่างใดไม่ ผู้วิจัยพบว่ากลวิธีการแต่งเช่นนี้ไม่เคยมีปรากฎในกาพย์เห่เรื่องใดๆ เลย นับเป็นกลวิธีการแต่งที่แสดงความสามารถวรรณศิลป์อย่างสูงส่ง

                จ. กลวิธีที่ทรงเปิดเรื่องด้วยคำว่า ข้อนอกและปิดเรื่องด้วย ข้อนทรวงกล่าวคือ ในโคลงนำของบทเห่เครื่องคาว มีข้อความกล่าวว่า แรงอยากยอหัตถ์ข้อน อกไห้หวนแสวงและปิดเรื่องด้วยการให้กวีกล่าวรำพันว่า เรียมลูบอกไล้ไล้ คู่ข้อนทรวงเซ็นลักษณะเช่นนี้เป็นกลวิธีการแต่งที่เน้นความเป็นเอกภาพของการใช้ภาษาที่มีความหมายอย่างเดียวกัน และเอกภาพของการใช้ภาษาที่สอดคล้องกับแก่นเรื่องของกาพย์เห่เรื่องนี้ด้วย เพราะการทุบตีอกเป็นการแสดงออกให้เห็นความโศกเศร้าที่มีอยู่ภายในใจซึ่งเป็นสาระสำคัญในกาพย์เห่เรื่องนี้ ส่วนการใช้ภาษาที่สื่อความหมายของการทุบตีอกในตอนเริ่มเรื่อง คือ แรงอยากยอหัตถ์ข้อน อกไห้หวนแสวงกับตอนปิดท้ายเรื่องที่ว่า ลูบอกโอ้อาลัย ลาลศล้ำกำสรวลเซ็นสะท้อนให้เห็นความคิดเรื่องวิธีแสดงออกของกวียามที่ทรงมีความทุกข์ คือ ทรงมุ่งมั่นกับวิธีการแสดงออกดังกล่าว และเมื่อทรงทุกข์โศกอย่างรุนแรง จึงทรงใช้วิธีการนี้แสดงเป็นพฤติกรรมออกมา

                ฉ. กลวิธีที่ทรงเชื่อมโยงเนื้อหาที่เป็นบทเห่ชมเครื่องคาวหวาน บทเห่ชมผลไม้ บทเห่ชมเครื่องหวานให้เข้ากับเนื้อหาของบทเห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์และเห่บทเจ้าเซ็นได้อย่างกลมกลืน โดยทรงใช้ความคิดถึงนางและความทุกข์โศกเศร้าของพระองค์ขณะที่ทรงพลัดพรากจากนางที่ทรงรักเป็นเส้นด้ายร้อยเรียงเนื้อหาเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างมีศิลปะและน่าชื่นชมยิ่ง กลวิธีนี้ทำให้เนื้อหาของกาพย์เห่เรื่องนี้ผสานกันได้อย่างดีและมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างมีเอกภาพยิ่ง


























7 ความคิดเห็น:

  1. สีพื้นหลัง แสบตาไปนะค่ะ อ่านไม่รู้เรื่อง

    ตอบลบ
  2. มีประโยชน์มากค่ะ

    ตอบลบ
  3. ความหมายบทกลอนซ่าหริ่มคืออะไรอ่าค่ะ

    ตอบลบ
  4. ความหมายบทกลอนซ่าหริ่มคืออะไรอ่าค่ะ

    ตอบลบ
  5. ความหมายบทกลอนซ่าหริ่มคืออะไรอ่าค่ะ

    ตอบลบ